วันที่ 8 มีนาคม 2562
ความรู้ที่ได้รับ
☆ เริ่มการเรียนครั้งนี้อาจารย์ให้แบ่งกลุ่มเพื่อทำสื่อคณิตศาสตร์แล้วให้เลือกว่าอยากทำชิ้นใด
กลุ่มของฉันเลือกที่จะทำ “ตาชั่งสองแขน”
หลังจากนั้นอาจารย์พดอธิบายเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสมองและการเล่นที่เกิดการเรียนรู้ คือ การเล่น
เป็นวิธีการที่ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้
โดยเด็กจะเกิดการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
การทำงานของสมอง
มีกระบวนการดังนี้
☆ หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้พูดเกี่ยวกับทฤษฎีของเพียเจย์ว่าดังนี้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลมีดังนี้
1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว
(Sensori-Motor Stage) แรกเกิด - 2 ปี
พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ
เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด
(Preoperational Stage) อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
✱ ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual
Thought) อายุ 2-4 ปี
เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น
แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น
✱ ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้
นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) อายุ 4-7 ปี
ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น
รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์
แต่ไม่ชัดนัก
3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม
(Concrete Operation Stage) อายุ 7-11 ปี
พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้
4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม
(Formal Operational Stage) อายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด
คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง
เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่
ประสบการณ์
สำคัญที่เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น
ได้แก่
1. ขั้นความรู้แตกต่าง
(Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่มองเห็น
2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม
(Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ
มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ
เล็ก-ใหญ่
3. ขั้นรู้หลายระดับ
(Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลางระหว่างปลายสุดสองปลาย
เช่น ปานกลาง น้อย
4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
(Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ
เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้
5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ
(Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลง
6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว
(Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน
กระบวนการทางสติปัญญา
มีลักษณะดังนี้
1. การซึมซับหรือการดูดซึม
(assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับประสบการณ์
เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
2. การปรับและจัดระบบ
(accommodation) คือ
กระบวนการทางสมองในการปรับประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาที่ตนสามารถเข้าใจได้
เกิดเป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น
3. การเกิดความสมดุล
(equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ
หากการปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น
หากบุคคลไม่สามารถปรับประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้
ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล
☟ คำศัพท์ ☟
1.Balance
ความสมดุล
2.Conflict
ความขัดแย้ง
3.Abstract
นามธรรม
4.Absorbing
การซึมซับ
5.Process
กระบวนการ
6.Review
ทบทวน
7.Absorption
การดูดซับ
8.Acknowledge
รับรู้
9.Concrete
รูปธรรม
10.Learning
เรียนรู้
แบบประเมิน
ประเมินเพื่อน เพื่อนตั้งใจฟังและคอยสนทนากับอาจารย์เมื่ออาจารย์อธิบาย
ประเมินอาจารย์ อาจารย์พูดถึงเนื้อหาและให้คำอธิบายได้อย่างเข้าใจ
ประเมินตนเอง
ฟังอย่างตั้งใจอาจจะมีคุยบ้างแต่ก็ยังให้ความสำคัญกับเนื้อหาอยู่